“สี จิ้นผิง” ปั๊ม เศรษฐกิจด้านใน เขย่าส่งออกไทย 4 หมื่นล้าน

“สี จิ้นผิง” ปั๊ม เศรษฐกิจด้านใน เขย่าส่งออกไทย 4 หมื่นล้าน

“จีน” ตลาดส่งออกอันดับ 3 ขนาดแทบ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐของไทย กำลังเปลี่ยนผ่านแนวนโยบายเศรษฐกิจครั้งสำคัญ หลังประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ได้รับเลือกให้รับตำแหน่ง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน สำหรับในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ต่อเนื่องอีกสมัย เป็นสมัยที่ 3 นำพาเศรษฐกิจ 1,300 ล้านคน เคลื่อนจีดีพีให้ขยายตัว 5.5% ตามจุดหมาย

ดร.ไพจิตร พิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การสัมมนาคณะทำงานด้านเศรษฐกิจรายปีกำลังจะเริ่มในช่วงกลางเดือนธ.ค.นี้ จะเป็นการส่งสัญญาณชัดว่าจีนจะลุยต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจเช่นไร ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ต้องโฟกัสไปที่ “หลี่ เฉียง” ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนถัดไป แทนนาย “หลี่ เค่อเฉียง” ที่กำลังจะหมดวาระในเดือน มี.ค. 2566 เป็นหมายเลข 2 ที่จะร่วมในฐานะ 7 โปลิตบูโรครั้งแรก ต้องฉายภาพทิศทาง รวมทั้งเป้าหมายตัวเลขทางเศรษฐกิจจีน ในปี 2566

สี จิ้นผิง จีน

กระตุ้นชนบท-ลดเหลื่อมล้ำ

“ผมว่าจะนโยบายจะไม่ปรับเปลี่ยนจากเดิม แต่จะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และในอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจภายในของจีนปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 50% ของมูลค่าเศรษฐกิจ เพิ่มสูงขึ้นจาก 10 ปีก่อนที่คิดเป็น 25-26% หากสามารถกระตุ้นทำให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เพราะประชาชนในพื้นที่ชนบทจีนคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ส่วนใหญ่จะขายแรงงาน เป็นเกษตรกร การลดความแตกต่างลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องของการกระจายรายได้”

เวลาเดียวกันจะเชื่อมโยงหัวข้อการรักษาเสถียรภาพ หรือการเพิ่มเสถียรภาพความมั่นคงยั่งยืนทางอาหาร ภายหลังเกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน

ยิ่งกว่านั้น ถ้าเกิดพิจารณาการคัดสรรบุคคลสำคัญ 7 อรหันต์ (โปลิตยูโรถาวร) ของพรรค จะเห็นประธานาธิบดี สี ให้ความใส่ใจกับการดูแลระเบียงเศรษฐกิจ 3 พื้นที่ใหญ่ แบ่งเป็น แผนที่ส่วนคอไก่ ตรงปักกิ่ง เทียนจิน และก็เหอเป่ย์ มี ไช่ เฉียง เลขาธิการพรรคที่ปักกิ่ง

ส่วนอกไก่ คือ ตรงปากแม่น้ำแยงซีเกียง เซี่ยงไฮ้ มณฑลเจ้อเจียง มณฑลเจียงซู อานฮุย ได้ท่านหลี่ เฉียง ซึ่งคาดว่าจะขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แล้วก็ท้องไก่ ท่านหลี่ ซี เลขาธิการพรรคกวางตุ้ง ซึ่งมีความสามารถสำหรับการปฏิรูปเชื่อมเศรษฐกิจระหว่างทางฮ่องกงกับกวางตุ้ง แล้วก็ Greater Bay Area

ผนึกพันธมิตรในเส้นทาง BRI

อย่างไรก็แล้วแต่ แม้จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้านในแต่จีนยังไม่ลดการนำเข้า แล้วก็จะจำเพาะเจาะจงไปที่พันธมิตร ตามแนวนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมืองไทยก็เป็นหนึ่งประเทศตามแนวหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางตอนใต้ ที่จีนจะลงมาพื้นที่ทางตอนล่าง เวลาเดียวกันจีนเริ่มคลายล็อกเรื่องเงื่อนไขการลงทุน สำหรับธุรกิจบริการหลาย ๆ อย่างเช่น เรื่องการท่องเที่ยว ยินดีให้ธุรกิจต่างชาติเข้าไปเปิดในเมืองจีน ธุรกิจดูแลคนชรา

“จีนทราบดีว่าศักยภาพความพร้อมของต่างประเทศที่จะเข้าไปลงทุนจะไม่มีพลังมากเหมือนแต่ก่อน เพราะว่าเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในหลาย ๆ ประเทศแย่ ในอเมริกาเงินเฟ้อ ยุโรปเผชิญกับปัญหาด้านพลังงาน จึงต้องยกระดับการพึ่งตนเองให้มากขึ้น เพื่อเตรียมตัว พึ่งพากำลังข้างนอกน้อยลง แต่พึ่งพาหรือกำลังภายในให้มากขึ้น”

จีดีพีปี’66 โต 4%

ดร.ไพจิตร เห็นว่า ปี 2566 เศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้เกิน 4% ถ้าเกิดว่าไม่มีวิกฤตอื่นเกิดขึ้น เศรษฐกิจจีนต้องสูงกว่าปีนี้ที่ตั้งไว้ 5.5% ส่วนสภาวะปัญหาสงครามกิจการค้าระหว่างจีนกับอเมริกานั้นจะเป็นยังไง ต้องติดตามท่าทีของฝ่ายสหรัฐว่าจะชะลอหรือไม่ เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา จีนเล่นบทเป็นพระรอง ตอบโต้สิ่งที่สหรัฐทำซะมากกว่า

ส่วนค่าเงินหยวนที่อ่อนเวลานี้คือเรื่องเชิงจิตวิทยา เนื่องจากนักลงทุนส่วนมากอยู่ในกองทุนของโลกตะวันตก จึงเกิดการปั่นกระแสเทขายเลย เพื่อส่งสัญญาณบอกโลกว่าไม่เห็นด้วย แต่จุดแข็งหลัก 3 ด้านของจีน คือ 1) เสถียรภาพของรัฐบาลจีนดี ไม่มีปัญหา 2) ความต่อเนื่องในเชิงนโยบายสูง 3) หน้าตักจีนยังใหญ่ การแก้ปัญหาอะไรก็ตาม การเมืองเขานำเศรษฐกิจ การปรับปรุงในเชิงเศรษฐกิจจะคลายล็อกได้เร็ว

เกาะติดแนวนโยบาย เศรษฐกิจจีน

นางอารดา เฟื่องทอง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มีความเห็นว่า บทบาทประธานาธิบดีสี โดดเด่นมากขึ้นภายหลังการสัมมนา ซึ่งทำให้เห็นว่าภายหลังจากนี้ รัฐบาลจะยังดำเนินแนวนโยบายต่อเนื่องตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 แต่มีแนวโน้มว่าจีนจะมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นย้ำการพัฒนาด้านประสิทธิภาพ สร้างความสมดุล

โดยจีนยังคงมีนโยบายที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก แล้วก็ให้เศรษฐกิจในประเทศแล้วก็ต่างประเทศ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Dual Circulation) ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาการดำเนินแนวนโยบายพึ่งพาตนเองเพื่อสร้างความมั่นคงยั่งยืนทางด้านอาหารแล้วก็พลังงาน แล้วก็ยังคงเดินหน้าแนวนโยบาย Dynamic Zero COVID

“Dynamic Zero COVID ทำให้ต้นทุน ขั้นตอน ระยะเวลา แล้วก็ค่าใช้จ่าย สำหรับในการขนส่งผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น การร่วมงานแฟร์ในจีนมีความสะดวกน้อยลง การจำกัดการเดินทางผ่านเมือง/มณฑล แล้วก็ล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยงโควิด ทำให้ผลิตภัณฑ์ไทยเสียโอกาสทางการตลาด

เพราะถึงแม้ว่าจะเข้าไปจำหน่ายในระบบออนไลน์ได้ แต่ยังไม่ทั่วถึง ส่วนแนวนโยบาย Dual Circulation เน้นย้ำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดการนำเข้า อาจจะส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ไทย เอกชนไทยต้องปรับตัวเตรียมพร้อม พัฒนารูปแบบ ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ แล้วก็ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น จึงจะส่งออกได้ ยิ่งกว่านั้น การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงจะทำให้จีนมุ่งสร้างซัพพลายเชนแล้วก็โครงสร้างที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น”

ลุยต่อ Zero COVID

ตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วน 12% จากภาพรวมการส่งออกทั้งหมดของไทย ในช่วง 3 ไตรมาสแรก ไทยส่งออกไปจีน 26,626 ล้านเหรียญสหรัฐ น้อยลง 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนนี้ ถือว่าเป็นการหดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน การส่งออกสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์แล้วก็ส่วนประกอบ สินค้าผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งแล้วก็แห้ง แล้วก็เคมีภัณฑ์มีการส่งออกน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากการใช้มาตรการสำรวจโควิดเข้มข้น หรือ “Zero COVID”

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เปิดเผยว่า แนวนโยบายซีโร่โควิดอาจมีอีกสักระยะหนึ่ง แต่ภายหลังจากนี้เชื่อว่ามีการผ่อนคลายและจีนเองมีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ค่อนข้างรวดเร็วอยู่แล้ว

“วิธีการส่งสินค้าไปยังประเทศจีนในช่วงที่จีนมีนโยบายซีโร่โควิดนี้อยู่ เราก็มีการปรับตัวกันมากพอสมควร จากการขนส่งทางบกเป็นหลักก็เปลี่ยนกลับมาเป็นการขนส่งผลิตภัณฑ์ทางเรือ มีความคล่องตัวในเรื่องด่านตรวจมากกว่า

แล้วก็ต้นทุนการขนส่งผลิตภัณฑ์ทางเรือถูกลงแล้ว ปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่เคยเป็นปัญหาก็น้อยลงตามลำดับ เดี๋ยวนี้ถือได้ว่าเป็นการรักษาฐานตลาด จนแนวนโยบายซีโร่โควิดจะผ่อนคลายลง จึงจะเป็นโอกาสอีกรอบสำหรับในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้าไป ส่วนต้นทุนที่ถูกกระทบก็ยังมาจากเรื่องพลังงานเป็นหลัก กับวัตถุดิบบางรายการที่ต้องนำเข้า”

อย่างไรก็แล้วแต่ เป็นที่น่าจับตาดูในปี 2566 ว่า ทิศทางเศรษฐกิจจีนจะเป็นยังไง คาดว่า “ น่าจะน้อยลง” อย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งปีแรก แต่ถ้าเกิดจากนั้นมีการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในอาจจะได้กำลังซื้อกลับมาช่วงครึ่งปีหลัง